

ว21172 เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ)2
Benjamarachutit
Computing science2
กิจกรรมที่ 8
เทคโนโลยีการสื่อสาร
บทที่ 8 เทคโนโลยีการสื่อสาร
1.1 องค์ประกอบของการสื่อสาร
1.2 เครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.3 อินเทอร์เน็ต
1.4 บริการบนอินเทอร์เน็ต
1.5 คลาวด์คอมพิวติง
จุดประสงค์ของบทเรียน
1. รู้จักและใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์
2. เลือกใช้บริการบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างถูกต้อง

ในปัจจุบันจะพบเห็นผู้คนจํานวนมากใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสาร ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การส่งข้อความ การสนทนาแบบเห็นภาพและได้ยินเสียง การแบ่งปันข้อมูล ระหว่างบุคคลหรือองค์กร จึงมีความจําเป็นที่เราทุกคนจะต้องรู้ถึงวิธีการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ถูกต้อง และเหมาะสมเพื่อป้องกันผลกระทบและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตนเองหรือผู้อื่น
องค์ประกอบของการสื่อสาร
องค์ประกอบพื้นฐานของการสื่อสารข้อมูลได้แก่ ผู้ส่ง ผู้รับ ข้อมูลข่าวสาร ตัวกลาง และข้อตกลงร่วมกัน (protocol) ในการสื่อสาร ตัวอย่างเช่น การพูดคุยสื่อสารกันระหว่างนักเรียนและครูในชีวิตประจําวัน ผู้ส่งคือครู ผู้รับคือนักเรียน ข้อมูลข่าวสารคือสิ่งที่ครูพูด ตัวกลางคืออากาศ กระดานดํา หรือไวท์บอร์ด สําหรับข้อตกลงร่วมกัน คือภาษาที่ใช้ ดังรูป 5.1
มนุษย์อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันหลายระดับ เช่น การสื่อสารระหว่างคนในครอบครัว ระหว่างเพื่อน ระหว่างคนในสังคม ในอดีตมนุษย์มีการใช้ภาษามือหรือแสดงท่าทางเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร ต่อมามีการใช้ภาษาพูดในการสื่อสารโดยตรง มีการวาดภาพเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวให้ผู้อื่นเข้าใจ เมื่อมีการประดิษฐ์ ตัวอักษรก็ใช้การเขียนเป็นสื่อในการติดต่อสื่อสาร ในกรณีของการติดต่อสื่อสารที่มีระยะทางไกลก็ได้มีการ พัฒนารูปแบบการสื่อสารในหลายรูปแบบ เช่น ชนเผ่าอินเดียนแดงใช้สัญญาณควันไฟ หรือชนเผ่าในแอฟริกา ใช้การเคาะไม้หรือตีกลอง ซึ่งการสื่อสารแบบนี้มีการตกลงรูปแบบของควันไฟหรือจังหวะของเสียงเคาะ เพื่อให้เข้าใจตรงกันระหว่างผู้ส่งกับผู้รับ เมื่อเทคโนโลยีทางด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีการพัฒนาให้ก้าวหน้า มากขึ้นทําให้การสื่อสารในปัจจุบันมีการพัฒนาที่ส่งเสริมให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันทําได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น เช่น การใช้สมาร์ตโฟน อินเทอร์เน็ต
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เกิดจากการนําเครื่อง คอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อกัน ผ่านตัวกลางในการสื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างกัน และใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (resource sharing) เช่น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อทํางานร่วมกัน ส่งผลให้เกิด ความสะดวก เพราะสามารถปรับปรุงแก้ไขข้อมูล ร่วมกันได้แม้ว่าจะทํางานอยู่ต่างสถานที่กัน
การประยุกต์ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถทําได้หลายรูปแบบ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1) การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีเครื่องบริการไฟล์ทําหน้าที่เก็บข้อมูลหรือโปรแกรมใช้งานไว้ที่ส่วนกลาง ผู้ใช้ไม่จําเป็นต้องมีโปรแกรมหรือข้อมูลเก็บอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง ทําให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการจัดซื้อโปรแกรมและลดความซ้ําซ้อนของข้อมูล เช่น ฐานข้อมูลของนักเรียนและครูในโรงเรียน ซึ่งบุคลากรของโรงเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ผ่านเครือข่าย หรือการที่ครูอนุญาตให้นักเรียน
ใช้งานไฟล์ข้อมูลร่วมกันได้
2) การแบ่งปันอุปกรณ์ในเครือข่าย
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทําให้เราสามารถใช้อุปกรณ์ในเครือข่ายร่วมกันได้ เช่น การใช้งานเครื่องพิมพ์ ร่วมกันใน
เครือข่าย ตัวอย่างดังรูป 5.2
3) การติดต่อสื่อสาร
ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสาร เช่น ส่งอีเมล (electronic mail: e-mail) โอนย้ายข้อมูล ระหว่างอุปกรณ์ซึ่งทําได้สะดวก ตัวอย่าง การติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่าย เช่น แชท (chat) เว็บบอร์ด (web board) หรือประชุม ทางไกล (teleconference)
ดังรูป 5.3
4) การแบ่งปันแหล่งข้อมูลและความรู้
ในปัจจุบันมีแหล่งเรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ ซึ่งมีผู้สร้างแล้วนํามาเก็บไว้ในระบบเครือข่าย ผู้สนใจ สามารถเข้ามาศึกษาและเรียนรู้ได้จากทุกที่ตลอดเวลา ตามความต้องการ ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ให้ความรู้ เช่น code.org www.scimath.org learningspace.ipst.ac.th ดังรูป 5.4
ชนิดเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งตามลักษณะการบริหารเครือข่ายได้ดังนี้
1) เครือข่ายส่วนบุคคลหรือแพน (Personal Area Network: PAN) เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สําหรับการใช้งานส่วนบุคคลแบบไร้สาย สามารถใช้งานได้ในระยะประมาณ 10 เมตร เช่น การใช้เทคโนโลยี บลูทูธ (bluetooth technology) เชื่อมต่อสมาร์ตโฟนเข้ากับชุดหูฟังไร้สาย ใช้เทคโนโลยีอินฟราเรด (infrared technology) เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์กับเมาส์หรือคีย์บอร์ดแบบไร้สาย ใช้บลูทูธเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนกับเครื่องพิมพ์
2) เครือข่ายเฉพาะที่หรือแลน (Local Area Network: LAN) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน หรือพื้นที่ของหน่วยงานเดียวกัน แลนจัดได้ว่าเป็นเครือข่ายที่หน่วยงาน สามารถบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง ขอบเขตของแลนมีตั้งแต่เครือข่ายขนาดเล็กที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ภายในห้องเดียวกัน ไปจนถึงเครือข่ายขนาดปานกลางที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ระหว่างห้องหรือระหว่าง อาคาร เช่น ระบบเครือข่ายภายในโรงเรียน ซึ่งมีทั้งแบบที่ใช้สาย (LAN) และแบบไร้สาย (Wireless LAN: WLAN) โดยใช้เทคโนโลยีไวไฟ ( Wi-Fi technology)
3) เครือข่ายบริเวณกว้างหรือแวน (Wide Area Network: WAN) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันในระยะไกล เช่น ระหว่างจังหวัด ประเทศ หรือทวีป ตัวอย่างการใช้แวน เช่น ธนาคารที่มีการเชื่อมต่อสาขาย่อยทั่วประเทศเข้าด้วยกัน การเชื่อมต่อมีทั้งระบบใช้สายที่ต้องวางสาย ไปตามถนน หรือใต้ท้องทะเล และแบบไร้สายที่เชื่อมต่อกันด้วยช่องสัญญาณดาวเทียม คลื่นไมโครเวฟ หรือคลื่นวิทยุ
ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของการให้บริการได้ดังนี้
1) เครือข่ายแบบรับ-ให้บริการ
เครือข่ายแบบรับ-ให้บริการ (clientServer network) เป็นเครือข่ายที่มีเครื่อง บริการ (Server) ที่รองรับการขอใช้บริการ จากเครื่องรับบริการ (client) ได้หลายเครื่อง ในเวลาเดียวกัน ทําให้สะดวกในการบริหาร จัดการ บํารุงรักษาทรัพยากรของระบบ ตัวอย่างเช่น เครื่องบริการไฟล์ (file Server) เครื่องบริการงานพิมพ์ (print server) เครื่องบริการเมล (mail server) ตัวอย่าง เครือข่ายแบบรับ-ให้บริการ ดังรูป 5.6
2) เครือข่ายระดับเดียวกัน
เครือข่ายระดับเดียวกัน (Peer-toPeer network: P2P network) เป็นเครือข่าย ที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถทําหน้าที่ เป็นทั้งเครื่องรับและให้บริการในขณะเดียวกัน และสามารถใช้งานทรัพยากรของเครื่องอื่น ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยที่ไม่มีเครื่องใด เครื่องหนึ่งทําหน้าที่เป็นเครื่องให้บริการ โดยเฉพาะ ช่วยให้เราสามารถแบ่งปันไฟล์ กับอุปกรณ์อื่น ในขณะเดียวกันก็ใช้งานไฟล์ จากอุปกรณ์อื่นได้ด้วย ตัวอย่างเครือข่าย ระดับเดียวกัน ดังรูป 5.7
ตัวกลาง
ตัวกลางของการสื่อสารในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่ายเข้า ด้วยกันโดยทําหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูลจากต้นทาง (ผู้ส่ง) ไปยังปลายทาง (ผู้รับ) ตัวกลาง ในการสื่อสารมีทั้งแบบมีสายและไร้สายดังนี้
ชนิดของตัวกลางแบบมีสาย (wired media) สายคู่บิดเกลียว (Unshielded Twisted Pairs: UTP) พบได้ทั่วไปในระบบโทรศัพท์บ้านซึ่งได้มีการ นํามาใช้กับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วย ลักษณะ ของสายจะมีการบิดเกลียวของคู่สายเข้าด้วยกัน ซึ่งจะ ช่วยให้นําสัญญาณได้ดีขึ้น ตัวอย่างสายคู่บิดเกลียว ดังรูป 5.8
เคเบิลเส้นใยนําแสง (fiber optic cable) สายสัญญาณประเภทนี้ทํามาจากแก้วหุ้มด้วยฉนวนทึบแสง จะส่ง สัญญาณแสงไปตามสายซึ่งมีความเร็วในการส่งสัญญาณสูงมาก แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการส่งแบบใช้สายชนิดอื่น จึงนิยมนํามาเป็นสายสัญญาณหลักในการเชื่อมต่อเครือข่ายเข้าด้วยกัน เช่น การเชื่อมต่อระบบเครือข่าย ระหว่างอาคาร ระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระหว่างเมืองหรือประเทศ ตัวอย่างเคเบิลเส้นใยนําแสงดังรูป 5.9
สายยูเอสบี (Universal Serial Bus: USB) สายสัญญาณประเภทนี้เป็นสายสัญญาณที่ใช้ในการ เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์อื่น เพื่อใช้ในการถ่ายโอนข้อมูล หรือใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น เชื่อมต่อ สมาร์ตโฟนกับคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถใช้ข้อมูล หรือใช้งานอินเทอร์เน็ตจากเครือข่าย โทรศัพท์เคลื่อนที่ ตัวอย่างสายยูเอสบีดังรูป 5.10
ชนิดตัวกลางแบบไร้สาย (wireless media) เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ตั้งแต่ 2 อุปกรณ์ขึ้นไป โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น คลื่นวิทยุเป็นตัวกลางนําสัญญาณ เทคโนโลยี ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เช่น บลูทูธ ไวไฟ ของผู้ให้ บริการอินเทอร์เน็ตต่างๆ
อินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายสาธารณะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เชื่อมต่อเครือข่ายย่อยจํานวนมากจาก ทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน ทําให้สามารถสื่อสารข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ การเชื่อมต่อทําได้ หลายช่องทาง เช่น ผ่านระบบสายโทรศัพท์ ระบบเส้นใยนําแสง ระบบเอดีเอสแอล (Asymmetric Digital Subscriber Line: ADSL) ระบบดาวเทียม ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่
องค์ประกอบที่สําคัญในการใช้ระบบอินเทอร์เน็ต
เลขที่อยู่ไอพี (Internet Protocol address: IP address) ทําหน้าที่เสมือนเลขที่ป้ายทะเบียนกํากับ อุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อให้แต่ละอุปกรณ์สื่อสารกันได้ เลขที่อยู่ไอพีจึงมีความสําคัญ อย่างมาก เพราะจะช่วยระบุที่อยู่ของอุปกรณ์นั้น ๆ ในระบบเครือข่าย เช่น เครื่องให้บริการ สสวท. มีเลขที่อยู่ไอพีเป็น 202.168.1.192
ชื่อโดเมน (domain name) เป็นชื่อที่ใช้ระบุตัวตนของเครื่อง แทนการใช้เลขที่อยู่ไอพี ซึ่งยากต่อการจดจํา จึงกําหนดชื่อโดเมนขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการจดจํา โดยต้องจดทะเบียนไว้กับหน่วยงานที่จัดการโดเมนจึงจะใช้งานได้ ชื่อโดเมนสามารถนํามาใช้เป็นส่วนหนึ่งของชื่อเว็บไซต์ (website หรือ Uniform Resource Locator: URL) หรือที่อยู่อีเมล (email address) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้อ้างถึงเว็บไซต์หรือที่อยู่อีเมลได้ง่าย
ชื่อโดเมนประกอบด้วยหลายส่วน แต่ละส่วนจะคั่นด้วยเครื่องหมายจุด (.) และมีความหมายเฉพาะ เช่น WWW.ipst.ac.th รายละเอียดดังนี้
สําหรับชื่อโดเมนในระดับบนสุด (Top Level Domain: TLD) นั้น นอกจากจะมีการกําหนดชื่อย่อแทน ประเทศแล้ว (เช่น th แทนประเทศไทย cn แทนประเทศจีน หรือ in แทนประเทศอินเดีย) ยังมีการกําหนดชื่อย่อ ระดับบนสุดในลักษณะประเภทของหน่วยงานด้วย เช่น com org net หรือ gov ตัวอย่างโดเมนระดับบนสุด ดังแสดงไว้ในตาราง 5.1 สําหรับชื่อโดเมนระดับที่สองของประเทศไทยนั้น ได้มีการกําหนดความหมายดังแสดงไว้ ในตาราง 5.2 ส่วนชื่อโดเมนในระดับที่สามโดยทั่วไปจะเป็นชื่อย่อของ
หน่วยงาน
บริการบนอินเทอร์เน็ต
เครื่องบริการแต่ละเครื่องอาจให้บริการที่แตกต่างกัน อินเทอร์เน็ตช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว สามารถทําได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ขึ้นกับระยะทาง เปรียบเสมือนการสื่อสารไร้พรมแดน
ตัวอย่างการบริการบนอินเทอร์เน็ต
1) อีเมล
อีเมลเป็นบริการบนอินเทอร์เน็ตในการส่งข้อความรวมถึงไฟล์ชนิดต่าง ๆ ของผู้ส่งผ่านเครื่อง ให้บริการเมลต้นทางไปยังกล่องจดหมาย (mailbox) ของผู้รับที่เครื่องให้บริการเมลปลายทาง เมื่อผู้รับ เปิดโปรแกรมอ่านอีเมล โปรแกรมก็จะดึงจุดหมายที่มีมาถึงจากกล่องจดหมายออกมาให้อ่าน
ในปัจจุบันการรับ-ส่งอีเมลสามารถกระทําผ่านเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) โดยครั้งแรก ผู้ใช้จะต้องลงทะเบียนสร้างบัญชีผู้ใช้อีเมล (email account) กับผู้ให้บริการอีเมลก่อน จึงจะสามารถ ใช้บริการได้ ตัวอย่างผู้ให้บริการอีเมล เช่น Gmail Outlook
บัญชีผู้ใช้อีเมลที่กําหนดขึ้นจะต้องไม่ซ้ํากับชื่อที่มีอยู่แล้วในชื่อโดเมนเดียวกัน การตั้งชื่อควร ใช้คําที่มีความหมายสุภาพ สั้น กระชับ เพื่อให้สามารถจดจําได้ง่าย ตัวอย่างชื่ออีเมลที่ไม่ควรใช้ เช่น i_am_crazy@gmail.com, my_name_is_ying living_in_bangkok@yahoo.com
การส่งข้อความด้วยอีเมลทําให้สามารถส่งข้อความถึงผู้รับได้อย่างรวดเร็ว เปิดอ่านอีเมล ได้ในเวลาที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถแนบไฟล์ต่าง ๆ เช่น รูปภาพ โปรแกรม หรือคลิปวิดีโอไปกับอีเมล ได้อีกด้วย
2) บริการค้นหาข้อมูล
บริการค้นหาข้อมูลเป็นบริการที่ให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูล ต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต โดยใช้โปรแกรมค้นหาหรือเสิร์ชเอนจิน (search engine) เพื่อค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลก ที่มีข้อมูลสอดคล้องกับคําที่ต้องการค้นหา ตัวอย่างเว็บไซต์ ที่ให้บริการค้นหาข้อมูล เช่น google.com, bing.com, yahoo.com ในปัจจุบันการค้นหาข้อมูลยังสามารถค้นหา ข้อมูลที่เป็นรูปภาพหรือวีดิทัศน์ได้โดยใช้คําสําคัญหรือบางส่วน ของภาพในการค้นหา
3) บริการส่งข้อความทันที
การบริการส่งข้อความทันที (instant messaging: IM) หรือแชท (chat) เป็นบริการส่งข้อความให้กับคู่สนทนา การบริการส่งข้อความทันที ในปัจจุบันได้พัฒนาให้สามารถ สนทนากันเป็นกลุ่มได้ นอกจากนี้ยังสามารถส่งไฟล์รูปภาพ เสียง วีดิทัศน์ และแสดงภาพในเวลาจริงของผู้สนทนา ทุกคนได้ ถ้าหากว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานมีกล้อง เว็บแคมติดตั้งอยู่ ตัวอย่างโปรแกรมแชท เช่น LINE Messenger, WhatsApp, BeeTalk
4) อีคอมเมิร์ซ
อีคอมเมิร์ซ (electronic Commerce: e-Commerce) หรือการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นบริการ ในการทําธุรกรรมซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการผ่านอินเทอร์เน็ต ลูกค้าสามารถชําระค่าสินค้า และบริการได้หลายวิธี เช่น ใช้บัตรเครดิตหรือบัตรแทนเงินสดผ่านทางอินเทอร์เน็ต โอนเงินผ่านบัญชีธนาคารเพื่อชําระค่าสินค้าและบริการ อีคอมเมิร์ซ ebay ช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ขายทําให้สามารถประกอบธุรกิจได้โดยไม่จําเป็นต้องมีร้านค้า และลดค่าใช้จ่าย BUY BIG SALE ในการเก็บสินค้า แต่การจัดตั้งร้านค้าออนไลน์จะต้องจดทะเบียนร้านค้าให้ถูกต้องตามกฎหมาย อีคอมเมิร์ซ ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างรวดเร็ว 0 0และในบางเว็บไซต์ยังมีการให้ข้อมูลความคิดเห็น จากผู้ที่เคยซื้อสินค้าไปแล้ว เพื่อให้ผู้ซื้อรายใหม่ใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ตัวอย่างร้านค้าหรือบริการ amazon.com ออนไลน์เช่น WWW.amazon.com, www.ebay.com,www.trivago.co.th
คลาวด์คอมพิวติง
คลาวด์คอมพิวติง (cloud Computing) เป็นบริการ บนอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้บริการไม่จําเป็นต้องรู้ว่ามีระบบ ติดตั้งอยู่ที่ไหน มีขนาดเท่าไร และไม่จําเป็นต้องติดตั้ง ซอฟต์แวร์ในเครื่องผู้ใช้ การใช้บริการบนคลาวด์ เช่น การใช้ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล หรือใช้โปรแกรมต่าง ๆ ทํางานร่วมกัน ในปัจจุบันมีการใช้คลาวด์กันอย่างกว้างขวาง เพราะประหยัด งบประมาณ สามารถใช้งานได้โดยไม่จํากัดสถานที่ ช่วยให้ ทํางานได้ตลอดเวลา และอํานวยความสะดวกในการทํางาน ร่วมกัน ซึ่งต้องกําหนดสิทธิ์ผู้ใช้งานให้เหมาะสม เช่น ผู้ใช้ บางคนอาจอ่านได้อย่างเดียว แต่ผู้ใช้บางคนสามารถแก้ไขได้
ตัวอย่างบริการบนคลาวด์
1. บริการเก็บไฟล์ข้อมูลเป็นบริการที่มีผู้ใช้เป็นจํานวนมากมีทั้งแบบให้บริการฟรี แบบที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งแบบที่ให้บริการฟรีบางส่วนและเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ตัวอย่างบริการเก็บไฟล์ข้อมูล เช่น Google Drive, OneDrive, iCloud
2. บริการใช้งานโปรแกรมเป็นบริการที่ผู้ใช้สามารถ ใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ โดยไม่ต้อง ติดตั้งโปรแกรมในเครื่องผู้ใช้ หรือติดตั้งเพียงบางส่วน ซึ่งช่วยประหยัดทรัพยากรและพื้นที่จัดเก็บได้มาก ตัวอย่าง โปรแกรม เช่น Google Maps, Google Photos, Microsoft Office 365
สรุปท้ายบท
เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งตามลักษณะการบริหารเครือข่ายได้ คือ แพน แลน และแวน นอกจากนี้ เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งตามลักษณะการให้บริการ คือ เครือข่ายแบบรับ-ให้บริการ และเครือข่าย ระดับเดียวกัน ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในเครือข่ายเข้าด้วยกันจะมีตัวกลางการสื่อสาร มีทั้งแบบมีสาย หรือไร้สาย โดยทําหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง นอกจากนี้ยังต้องมีอุปกรณ์ สนับสนุนในการเชื่อมต่อ เช่น สวิตซ์ เราเตอร์
เครือข่ายที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ อินเทอร์เน็ต ซึ่งเชื่อมต่อเครือข่ายย่อยจํานวนมากจากทุก มุมโลกเข้าด้วยกัน อุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้ ต้องมีเลขที่อยู่ไอพี ซึ่งมีรูปแบบที่ยากต่อการจดจํา จึงมีการกําหนดชื่อโดเมนแทนในการระบุตัวตน ของอุปกรณ์ ในปัจจุบันมีการให้บริการบนอินเทอร์เน็ตจํานวนมาก เช่น อีเมล บริการค้นหาข้อมูล บริการส่งข้อความทันที อีคอมเมิร์ซ












