top of page

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย

          การใช้งานเทคโนโลยีสาระสนเทศอย่างปลอดภัย ทำได้โดยรักษาข้อมูลส่วนตัว ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น ก่อนแสดงความคิดเห็น หรือวิจารณ์ผู้อื่นในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ให้ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ไม่เขียนข้อความหยาบคาย ไม่แชร์ หรือโพสต์ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม รวมถึงป้องกันการเข้าถึงข้อมูลจากผู้อื่นโดยตั้งค่าความเป็นส่วนตัวหรือรหัสผ่านที่ผู้อื่นไม่สามารถคาดเดาได้ง่าย แต่ตนเองจะต้องจดจำได้ง่ายด้วย
ทั้งนี้ต้องติดตั้งโปรแกรมตรวจสอบไวรัส ไม่ติดตั้งโปรแกรมที่ดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ตที่ไม่ทราบที่มาหรือจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือในคอมพิวเตอร์ เพื่อป้องกันมัลแวร์ ไม่เปิด File ที่แนบมากับอีเมลจากบุคคลที่ไม่รู้จัก และติดตั้งโปรแกรมแก้ไขจุดบกพร่องของระบบปฎิบัติการ ที่เรียกว่า อัปเดต(Update) หรือ แพทซ์ (Patch) อย่างสม่ำเสมอ
ใช้สื่อหรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ตามข้อตกลงการใช้ เช่น การใช้สัญญา creative commons ตามประเภทของสัญญาให้ถูกต้อง

ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

  • การสื่อสาร มีส่วนในการพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ประกอบด้วย Communications media  การสื่อสารโทรคมนาคม (Telecoms) และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)   

  • เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลักที่มากไปกว่า โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ เช่น แฟกซ์ อินเทอร์เน็ต อีเมล์ ทำให้สารสนเทศเผยแพร่หรือกระจายออกไปในที่ต่าง ๆ ได้สะดวก

  • เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีผลให้การใช้งานด้านต่าง ๆ มีราคาถูกลง 

  • เครือข่ายสื่อสาร (Communication networks) ได้รับประโยชน์จากเครือข่ายภายนอกเนื่องจากจำนวนการใช้เครือข่าย จำนวนผู้เชื่อมต่อ และจำนวนผู้ที่มีศักยภาพในการเข้าเชื่อมต่อกับเครือข่ายนับวันจะเพิ่มสูงขึ้น

  • เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทำให้ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ และต้นทุนการใช้ IT มีราคาถูกลงมาก

ภัยแฝงออนไลน์

  • สารสนเทศมากมายมหาศาล ทั้งดีและไม่ดี ส่งตรงถึงห้องนอน

  • คนแปลกหน้า/ผู้ไม่ประสงค์ดี ใช้ไอทีเป็นช่องทางหาเหยื่อ เราอาจตกเป็นผู้ถูกกระทำหรือเป็นผู้กระทำเสียเอง

  • สังคมออนไลน์ การรวมกลุ่ม ค่านิยม แฟชั่น ทำให้เด็กและเยาวชนคล้อยตาม ตกเป็นทาสของเทคโนโลยี ความฟุ้งเฟ้อ ความเชื่อผิดๆ

  • การที่ใช้งานง่าย แพร่หลาย ราคาถูก ทำให้เสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย/ผิดศีลธรรม ทั้งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือโดยเจตนาก็ตาม

  • การใช้เวลากับของเล่นไอที/โลกออนไลน์มากจนเกินไป ส่งผลในด้านลบ อาจทำให้เสียโอกาสการเรียนรู้ในด้านอื่นๆ

การเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ตสำหรับเด็ก 
กฎสำหรับการใช้อีเมล์

  • ไม่ให้ที่อยู่อีเมล์แก่คนที่เราไม่รู้จัก

  • ไม่เปิดอีเมล์จากคนหรือองค์กร/ธุรกิจที่เราไม่รู้จัก

  • อีเมล์อาจจะมีสิ่งที่ไม่ดีมากมาย เช่น เรื่องราวที่ไม่เป็นจริง การติฉินนินทา และจดหมายลูกโซ่ที่พยายามจะเอาเงินจากกระเป๋าเรา

  • ไวรัส อาจผ่านมากับข้อมูลอีเมล์ เข้ามาสู่คอมพิวเตอร์ของเรา

  • ภาพที่ไม่เหมาะสม ผิดกฎหมาย ภาพยนตร์ อาจถูกส่งมาพร้อมกับข้อมูลอีเมล์

วิธีการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมที่ปรากฎบนจอคอมพิวเตอร์

  • ปิดหน้าเว็บ

  • ไม่ได้ผล ปิดเบราเซอร์ browser

  • ถ้ายังไม่ได้ผล ปิดคอมพิวเตอร์พร้อมกับแจ้งผู้ปกครองหรือครู

  • จำไว้ว่า เราสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาโดยการบอกให้คนอื่นทราบหากเราพบอะไรผิดพลาด

กฎของการแชท

  • ไม่สามารถเชื่อได้ว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นคนอย่างที่เค้าพูด

  • อย่าให้ชื่อจริง ควรใช้ชื่อสมมุติ

  • อย่าให้ข้อมูลว่าคุณอยู่ทีไหน หมายเลขโทรศัพท์ (โทรศัพท์มือถือ) เรียนอยู่ที่ไหน พ่อแม่เป็นใคร

  • ทำความเข้าใจให้ชัดเจนถึงกฎของแต่ละห้องแชท ที่จะเข้าไปเล่น

  • ให้จำไว้ว่าคุณอาจเป็นบุคคลนิรนามในอินเทอร์เน็ต แต่บ่อยครั้งที่คนอื่นสามารถสืบเสาะได้ว่าใครเป็นคนใส่ข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ดังนั้น ต้องมีความสุภาพกับผู้อื่นเสมอ

กฎของการแชท การสื่อสารทางออนไลน์

  • ไม่ออกไปพบกับบุคคลที่พบ รู้จักสื่อสารผ่านทางออนไลน์

  • ถ้ารู้สึกถูกกดดัน จากการสื่อสารออนไลน์กับใคร ให้ปรึกษากับผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบ

  • ให้ชื่ออีเมลกับเพื่อนที่รู้จักดี ไม่ควรให้กับคนแปลกหน้า

  • ปรึกษา หารือกับผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบเสมอ อย่าให้ถูกหลอกล่อ หรือถูกกดดันเพื่อไปพบเจอกับคนที่รู้จักออนไลน์

  • หากถูกใครหรือสิ่งใดรบกวนในห้องแชท ให้รีบออกจากการสนทนา และอย่าติดต่อ สนทนาอีก

กฎ – การป้องกันไวรัส และข้อมูลขยะ

  • หากข้อมูลบางอันรู้สึกดีเกินที่จะเชื่อได้ สรุปได้เลยว่าไม่จริง

  • ให้ระวังอีเมล์ที่บอกว่าโปรดส่งต่อให้ทุก ๆ คน เพราะอาจจะมีแต่เรื่องหลอกลวงไร้สาระ หรือมีไวรัสที่ไม่ควรส่งต่อ

  • อย่าเข้าไปในเวบไซด์ของธนาคารใด ๆ ที่อ้างบอกให้คุณแจ้งรหัสผ่าน

  • เก็บรหัสผ่านเป็นความลับเสมอ

  • ให้ระมัดระวัง เวบไซด์ที่ให้ดาวน์โหลดฟรี หรือมีเกมให้เล่นฟรี เพราะอาจเต็มไปด้วยไวรัส หรือจะมีข้อมูลที่ไม่เหมาะสมส่งมาให้คุณ

  • บางครั้ง บางคนอาจจะใช้ เล่ห์ ลวงให้คุณเชื่อมต่อไปยังเวบไซด์ที่ไม่เหมาะสม

กฎการเผยแพร่เรื่องราวในเว็บบล็อก

  • ตรวจสอบให้มั่นใจว่าใส่เฉพาะข้อมูลที่ปลอดดภัย

  • ให้มีรหัสส่วนตัวเพื่อปกป้องรูปภาพของคุณ

  • ต้องได้รับการอนุญาตจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู ในการสร้างเวบไซด์ของคุณเอง และให้ท่านเหล่านั้นช่วยตรวจสอบ ทบทวนสม่ำเสมอ

  • อย่าใส่เรื่องราวส่วนตัวเข้าไปในเว็บบล็อก หรือ ในการสนทนากลุ่ม

  • จำเป็นต้องมีความระมัดระวังมาก ๆ ในการใส่อะไรลงไปในอินเทอร์เน็ต เพราะทันทีที่มีการเผยแพร่คนจากทั่วโลกสามารถเห็นได้ และอาจมีการนำข้อมูลไปใช้ในทางผิด ๆ

ข้อแนะนำการใช้อินเตอร์เน็ต

  • เรียนรู้เกี่ยวกับมารยาททั่วไปในการใช้อินเทอร์เน็ต netiquette

  • ทำตามหลักพื้นฐานความปลอดภัย และเรียนรู้วิธีการ แนวปฏิบัติเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยงออนไลน์

มารยาททั่วไปในการใช้อินเตอร์เน็ต

  • ไม่ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อล่วงละเมิดหรือรบกวน ผู้อื่น

  • ไม่ใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อการใด ๆ ที่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรม

  • ไม่นำข้อมูลของผู้อื่นมาใช้ในทางที่ผิด หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลนั้น ๆ

  • ไม่บอกรหัสกับผู้อื่นแม้แต่เพื่อนสนิท

  • ไม่ใช้บัญชีชื่อผู้ใช้ของผู้อื่น หรือใช้เครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต

  • ไม่ยืมหรือใช้โปรแกรม รูปภาพ หรือข้อมูลของผู้อื่นบนอินเตอร์เน็ตโดยไม่ได้ร้บอนุญาตจากเจ้าของ

  • ไม่ฝ่าฝืนข้อห้ามของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต

  • ไม่เจาะเข้าระบบของผู้อื่นหรือท้าลองให้ผู้อื่นเจาะระบบของตัวเอง

  • หากพบมีการรั่วไหลในระบบ หรือบุคคลน่าสงสัยให้รีบแจ้งผู้ให้บริการในทันที

  • หากต้องยกเลิกการใช้อินเตอร์เน็ตให้ลบข้อมูลทั้งหมดและแจ้งผู้ดูแลเว็บไซต์

  • การทิ้งบัญชีชื่อผู้ใช้งานไว้บนอินเตอร์เน็ตอาจทำให้มีผู้ไม่หวังดีเจาะเข้ามาในระบบได้

กฎความปลอดภัย

  • ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเช่น เบอร์โทรศัพท์ ชื่อโรงเรียน ชื่อเพื่อนหรือผู้ปกครอง

  • ไม่นัดแนะเพื่อพบปะกับบุคคลที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ตโดยไม่บอกผู้ปกครอง

  • ไม่ส่งรูปหรือข้อมูลส่วนตัวให้กับคนที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ต

  • ไม่ให้ความสนใจหรือตอบโต้กับคนที่ถ้อยคำหยาบคาย

  • ไม่โหลดสิ่งที่ไม่คุ้นเคยหรือเปิดเอกสารจากอีเมล์ของคนที่เราไม่รู้จัก

  • หากพบข้อความหรือรูปภาพรุนแรง ให้รีบแจ้งผู้ปกครองหรือคุณครู

  • เคารพในกฎระเบียบ นโยบาย หรือข้อตกลงที่ให้ไว้กับผู้ปกครองและคุณครูในการใช้อินเตอร์เน็ต

10 วิธี ดูแลบุตรหลานที่ใช้งานอินเทอร์เน็ต

  • พ่อแม่ควรเรียนรู้เรื่องอินเทอร์เน็ตบ้าง

  • ใช้เวลาท่องอินเทอร์เน็ตกับลูกให้มากที่สุด หรืออย่างน้อยต้องพูดคุยกัน

  • ติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ในห้องรวมของครอบครัว

  • ท่านต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้งานอินเทอร์เน็ตก่อนที่จะสอนลูก

  • สอนลูกให้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการใช้งานแต่ละอย่าง เช่น อีเมล์ แช็ต กลุ่มข่าว เว็บ การสำเนาข้อมูล รวมถึงกฎกติกามารยาทออนไลน์

  • ส่งเสริมให้ลูกใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างสนุก ปลอดภัย และได้ประโยชน์

  • หมั่นสังเกตพฤติกรรมของลูก ดูว่าเขาทำตัวแปลกไปกว่าที่เคยหรือไม่ 

  • พูดคุยกับลูกให้เข้าใจแต่แรก ถึงขอบเขตการใช้งานอินเทอร์เน็ต

  • ผู้ปกครองอาจติดตั้งโปรแกรมบล็อกเว็บไซต์ได้

  • หากท่านพบอะไรที่เหลือบ่ากว่าแรง อย่ารีรอที่จะขอความช่วยเหลือ

การแบ่งปัญหาใหญ่เป็นปัญหาย่อย

ภัยคุกคามจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการป้องกัน
   4.1.1 วิธีการคุกคาม

      ภัยคุกคามที่มาจากมนุษย์นั้นมีหลากหลายวิธี โดยมีตั้งแต่การใช้ความรู้ขั้นสูงด้านไอที ไปจนถึงวิธีที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้และความสามารถทางเทคนิค เช่น

1)   การคุกคามโดยใช้หลักจิตวิทยา เป็นการคุกคามที่ใช้การหลอกลวงเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการโดยไม่ต้องใช้ความชำนาญด้านไอที เช่น การใช้กลวิธีในการลอกเพื่อให้ได้รหัสผ่านหรือส่งข้อมูลที่สำคัญให้ โดยหลอกว่าจะได้รับรางวัลแต่ต้องทำตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นอาจป้องกันได้ยากเพราะเกิดจากความเชื่อใจ แต่ป้องกันได้โดยให้นักเรียนระมัดระวังในการให้ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลใกล้ชิดหรือบุคคลอื่น

 

2)  การคุกคามด้วยเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ข้อมูลและเนื้อหาที่มีอยู่ในแหล่งต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตมีเป็นจำนวนมากเพราะสามารถสร้างและเผยแพร่ได้ง่าย ทำให้ข้อมูลอาจไม่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสม ดังนั้นข้อมูลบางส่วนอาจก่อให้เกิดปัญหากับนักเรียนได้

ตัวอย่างแหล่งข้อมูลและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง การพนัน สื่อลามกอนาจาร เนื้อหาหมิ่นประมาท การกระทำที่ผิดต่อกฎหมายและจริยธรรม

ข้อมูลและเนื้อหาเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้ง่าย ดังจะเห็นได้จากการงานแอปพลิเคชันเว็บไซต์ และสื่อบางประเภท นอกจากนี้อาจมีข้อมูลที่ไม่เหมาะสมนั้นปรากฏขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติแล้วนักเรียนเผลอคลิกเข้าไปทำให้คอมพิวเตอร์อาจติดไวรัสได้

3)  การคุกคามโดยใช้โปรแกรม เป็นการคุกคามโดยใช้โปรแกรมเป็นเครื่องมือสำหรับก่อปัญหาด้านไอที โปรแกรมดังกล่าวเรียกว่า มัลแวร์ (malicious software : malware) ซึ่งมีหลายประเภท เช่น

 

 

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) เป็นโปรแกรมที่เขียนด้วยเจตนาร้าย อาจทำให้ผู้ใช้งานเกิดความรำคาญหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลหรือระบบ โดยไวรัสจะติดมากับไฟล์งาน และสามารถติดแพร่กระจายเมื่อมีการเปิดใช้งานไฟล์

 

  

 

เวิร์ม (worm) เป็นโปรแกรมอันตรายที่สามารถแพร่กระจายไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่ายได้ด้วยตัวเอง โดยใช้วิธีหาจุดอ่อนของระบบรักษาความปลอดภัย แล้วแพร่กระจายไปบนเครือข่ายได้อย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง เช่น โค้ดเรด (Code Red) 

 

ประตูกล (backdoor/trapdoor) เป็นโปรแกรมที่มีการเปิดช่องโหว่ไว้เพื่อให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถเข้าไปคุกคามระบบสารสนเทศหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่ายโดยที่ไม่มีใครรับรู้ 

 

ม้าโทรจัน (Trojan horse virus) เป็นโปรแกรมที่มีลักษณะคล้ายโปรแกรมทั่วไปเพื่อหลอกลวงผู้ใช้ให้ติดตั้งและเรียกใช้งาน แต่เมื่อเรียกใช้งานแล้วก็จะเริ่มทำงานเพื่อสร้างปัญหาต่างๆ เช่น ทำลายข้อมูล หรือล้วงข้อมูลที่เป็นความลับ 

 

 ระเบิดเวลา (logic bomb) เป็นโปรแกรมอันตรายที่จะเริ่มทำงานโดยมีตัวกระตุ้นบางอย่างหรือกำหนดเงื่อนไขการทำงานบางอย่างขึ้น เช่น แอบส่งข้อมูลออกไปยังเครื่องอื่น หรือลบไฟล์ข้อมูลทิ้ง

 

โปรแกรมดักจับข้อมูล หรือสปายแวร์ (spyware) เป็นโปรแกรมที่แอบขโมยข้อมูลของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ เพื่อนำไปใช้แสวงหาประโยชน์ต่างๆ เช่น เก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อนำไปใช้ในการโฆษณา เก็บข้อมูลรหัสผ่านเพื่อนำไปใช้ในการโอนเงินออกจากบัญชีผู้ใช้

 

โปรแกรมโฆษณา หรือแอดแวร์ (advertising supported software :adware) เป็นโปรแกรมที่แสดงโฆษณาอัตโนมัติหลังจากที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นติดตั้งโปรแกรมที่มีแอดแวร์แฝงอยู่ นอกจากนี้แอดแวร์บางตัวอาจจะมีสปายแวร์ที่คอยดักจับข้อมูลผู้ใช้งานเอาไว้เพื่อส่งโฆษณาที่ตรงพฤติกรรมการใช้งาน 

 

โปรแกรมเรียกค่าไถ่(ransomware) เป็นโปรแกรมขัดขวางการเข้าถึงไฟล์ข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือด้วยการเข้ารหัส จนกว่าผู้ใช้จะจ่ายเงินให้ผู้เรียกค่าไถ่ จึงจะได้รับรหัสผ่านเพื่อที่จะสามารถใช้งานไฟล์นั้นได้ 

4.1.2 รูปแบบการป้องกันภัยคุกคาม

    แนวคิดหนึ่งที่ใช้สำหรับการป้องกันภัยคุกคามด้านไอที คือ การตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานก่อนการเริ่มต้นใช้งาน การตรวจสอบเพื่อยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานสามารถดำเนินการได้ 3 รูปแบบ ดังนี้

    1.ตรวจสอบจากสิ่งที่ผู้ใช้รู้ เป็นกาตรวจสอบตัวตนจากสิ่งที่ผู้ใช้งานรู้แต่เพียงผู้เดียว เช่น บัญชีรายชื่อผู้ใช้กับรหัสผ่าน การตรวจสอบวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย และระดับความปลอดภัยเป็นที่ยอมรับได้ หากนักเรียนลืมรหัสผ่าน สามารถติดต่อผู้ดูแลเพื่อขอรหัสผ่านใหม่

 

    2.ตรวจสอบจากสิ่งที่ผู้ใช้มี เป็นกาตรวจสอบตัวตนจากอุปกรณ์ที่ผู้ใช้งานต้องมี เช่น บัตรสมาร์ตการ์ด โทเก้น อย่างไรก็ตามการตรวจสอบวิธีนี้มีค่าใช้จ่ายในส่วนของอุปกรณ์เพิ่มเติม และมักมีปัญหา คือ ผู้ใช้งานมักลืมหรือทำอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบหาย

 

    3.ตรวจสอบจากสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของผู้ใช้ เป็นกาตรวจสอบข้อมูลชีวมาตร (biometrics) เช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา ใบหน้า เสียง การตรวจสอบนี้ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่มีค่าใช้จ่ายที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีอื่น และต้องมีการจัดเก็บลักษณะเฉพาะของบุคคล ซึ่งผู้ใช้บางส่วนอาจจะเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ความเป็นส่วนตัว

 

 

4.1.3 ข้อแนะนำในการตั้งและใช้งานรหัสผ่าน 

        1. สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการกำหนดรหัสผ่านให้มีความปลอดภัย มีดังนี้รหัสผ่านควรตั้งให้เป็นไปตามเงื่อนไขของระบบที่ใช้งาน รหัสผ่านที่ดีควรประกอบด้วยอักษรตัวใหญ่ ตัวเล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์ เช่น Y1nG@#!z หรือ @uG25sx*

        2. หลีกเลี่ยงการตั้งรหัสผ่านโดยใช้วัน เดือน ปีเกิด ชื่อผู้ใช้ ชื่อจังหวัด ชื่อตัวละคร ชื่อสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องหรือคำที่มีอยู่ในพจนานุกรม

        3. ตั้งให้จดจำได้กล่าว แต่ยากต่อการคาดเดาด้วยบุคคลหรือโปรแกรม เช่น ความสัมพันธ์ของรหัสผ่านกับข้อความหรือข้อมูลส่วนตัวที่คุ้นเคย เช่น ตั้งชื่อสุนัขตัวแรก แต่เขียนตัวอักษรจากหลังมาหน้า

        4. บัญชีรายชื่อผู้ใช้งานแต่ละระบบ ควรใช้รหัสผ่านที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะบัญชีที่ใช้เข้าถึงข้อมูลที่มีความสำคัญ เช่น รหัสผ่านของบัตรเอทีเอ็มหลายใบให้ใช้รหัสผ่านต่างกัน

        5. ไม่บันทึกรหัสผ่านแบบอัตโนมัติบนโปรแกรมเบราเซอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ร่วมกับผู้อื่น หรือเครื่องสาธารณะ

        6. หลีกเลี่ยงการบันทึกรหัสผ่านลงในกระดาษสมุดโน้ต รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย หากจำเป็นต้องบันทึกก็ควรจัดเก็บไว้ในที่ปลอดภัย

        7. ไม่บอกรหัสผ่านของตนเองให้กับผู้อื่น ไม่ว่ากรณีใดๆ

        8. หมั่นเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำ อาจกระทำทุก 3 เดือน

        9. ออกจากระบบทุกครั้งเมื่อเลิกใช้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

ที่มา :  http://krupicnic.patum.ac.th/kha-xthibay-raywicha/bth-thi-4-kar-chi-thekhnoloyi-sarsnthes-xyang-plxdphay?fbclid=IwAR2Rb95xLAy6eSHMa287sj6qdAXue0tPgxwh4r_GR3YGWAv-NgzyppAFN6k

ที่มา : https://sites.google.com/site/205it82/raywicha/bth-reiyn/kar-chi-thekhnoloyi-sarsnthes-xyang-plxdphay?fbclid=IwAR02UPKEUMoB621-HQxs3SD8GrgnGDLFMc3HdxX_60Im8DyGAheX5nCC3Z0

การพิจารณารูปแบบ

ชวนคิด

การคิดเชิงนามธรรม
2066457.png

กิจกรรมที่ 1.3  เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย 

อ้างอิงจาก หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์  เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ)

                  สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ

bottom of page