
การออกแบบและเทคโนโลยี ม.ต้น
บทที่ 2 ความรู้และทักษะพื้นฐานเฉพาะด้าน
บทที่ 2 วัสดุและเครื่องมือช่างพื้นฐาน ประกอบด้วยหัวข้อ
2.1 วัสดุในชีวิตประจำวัน
2.2 เครื่องมือช่างพื้นฐาน
2.3 กลไก ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. วิเคราะห์สมบัติของวัสดุและเครื่องมือช่างที่ใช้ในการสร้างชิ้นงาน
2. เลือกใช้วัสดุและเครื่องมือช่างในการสร้างชิ้นงานได้อย่างเหมาะสม
กับลักษณะของงานและคำนึงถึงความปลอดภัย
การนำไปใช้
ประตูที่เราใช้กันทั่วไป สร้างจากวัสดุหลายประเภทเช่น ไม้ พลาสติด แต่ละส่วนของประตูก็สร้างจากวัสดุที่แตกต่างกัน เช่น บานประตูทำจากไม้ ลูกบิดและสลักเป็นโลหะ ทั้งนี้เนื่องจากสมบัติของวัสดุที่แตกต่างกันจงทำให้มีความเหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกันด้วย การเลือกอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้สร้างหรือประกอบชิ้นส่วนของประตูก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับประเภทวัสดุและการทำงานอย่างปลอดภัย
2.1 วัสดุในชีวิตประจำวัน
สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ สร้างขึ้นจากวัสดุหลากหลายประเภท วัสดุแต่ละประเภทมีสมบัติและลักษณะที่แตกต่างกัน การเลือกใช้วัสดุให้ถูกต้องและเหมาะสมจึงมีความสำคัญต่อการออกแบบและสร้างสิ่งของเครื่องใช้
ตารางที่ 4.1 การเปรียบเทียบสมบัติและการใช้งานเก้าอี้ที่ผลิตจากวัสดุที่แตกต่างกัน
.jpg)

วัสดุที่นำมาทำสิ่งของเครื่องใช้ที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน เช่น ไม้ โลหะ พลาสติก ยาง มีสมบัติและการนำไปใช้งานที่แตกต่างกันดังนี้
ไม้ (Wood)
คือวัสดุธรรมชาติที่ได้มาจากลำต้นของต้นไม้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้น ไม้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายเพราะมีความแข็งแรง ทนทานไม่นำไฟฟ้า ไม่เป็นสนิม มีรูปร่างคงตัว มีผิวเรียบ มีกลิ่นและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ถ้าได้รับความชื้นเป็นเวลานานอาจบวมผิดรูปหรือผุได้
ไม้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ไม้ธรรมชาติ หรือไม้จริง (natural wood or solid wood) และไม้ประกอบ (processed wood)
.jpg)

ไม้ธรรมชาติ หรือไม้จริง (natural)
คือไม้ที่ได้จากลำต้นของต้นไม้โดยตรง แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ ไม้เนื้อแข็ง และไม้เนื้ออ่อน
ไม้ประกอบ (Processed wood)
คือไม้ที่ได้จากการนำชิ้นส่วนไม้มาต่อรวมกันด้วยกระบวนการต่าง ๆ ไม้ประกอบมีหลายประเภท เช่น ไม้อัด

.jpg)

โลหะ (Metals)
คือวัสดุที่ได้จากการถลุงสินแร่ต่าง ๆ โลหะที่นำมา
ใช้งานส่วนใหญ่ จะผ่านการปรับปรุงสมบัติให้ดีขึ้นก่อนนำมา
ใช้งาน โลหะเป็นวัสดุที่นำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง
เนื่องจากมีสมบัติที่ดี เช่น เป็นตัวนำความร้อนและนำไฟฟ้า
ได้ดี มีความแข็งแรงสูง มีความคงทนถาวร ไม่เสื่อมสลายหรือ
เปลี่ยนแปลงสภาพง่าย เป็นวัสดุทึบแสง สามารถป้องกัน
ไม่ให้แสงผ่าน ทนทานต่อการกัดกร่อน มีความสวยงาม
ผิวของโลหะสามารถขัดให้เป็นเงาวาว สามารถตีเป็นแผ่นบาง
หรือดึงให้เป็นเส้นลวดได้
โลหะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ โลหะกลุ่มเหล็ก (ferrous metals) และโลหะนอกกลุ่มเหล็ก (non-ferrous metals)
.jpg)
โลหะกลุ่มเหล็ก (ferrous metals)
คือโลหะที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบหลัก แบ่งออกเป็นเหล็กกล้า (Steel) และเหล็กท่อ (Cast Iron) ซึ่งมีธาตุคาร์บอนผสมอยู่ในปริมาณที่ต่างกันตั้งแต่ 0.1% ไปจนถึง 4% คาร์บอนที่ผสมลงในเหล็กมีผลต่อความแข็งและความเปราะของเหล็ก โดยทั่วไปโลหะกลุ่มเหล็กจะเกิดสนิม และมีสมบัติดูดติดกับแม่เหล็กได้ มีความแข็งแรงสูง สามารถปรับปรุงคุณภาพ และเปลี่ยนแปลงรูปทรงโดยการกลึง เจาะ ไส รีดเป็นแผ่นบางได้ตามที่ต้องการ
โลหะนอกกลุ่มเหล็ก (non-ferrous metals)
คือโลหะที่ไม่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นโลหะประเภทนี้ไม่เกิดสนิม และไม่ดูดติดกับแม่เหล็ก เช่น อะลูมิเนียม ทองแดง สังกะสี ทองเหลือง
ตาราง 4.3 สมบัติและการใช้งานของโลหะแต่ละประเภท
.jpg)
พลาสติก (Plastics)
คือวัสดุสังเคราะห์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ ปัจจุบันพลาสติกนำมาใช้สร้างสิ่งของเครื่องใช้มากมายและมีบทบาทอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกคน
พลาสติกแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ เทอร์โมพลาสติก (thermoplastics) และเทอร์โมเซตติ้งพลาสติก (thermosetting plastics)
.jpg)
เทอร์โมพลาสติก (thermoplastics)
พลาสติกประเภทนี้เมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และเปลี่ยนรูปร่างได้ เมื่อเย็นลงจะแข็งตัว ถ้าให้ความร้อนอีกจะอ่อนตัว ดังนั้นจึงสามารถทำให้กลับเป็นรูปเดิมหรือเปลี่ยนรูปได้ซ้ำไปมาหลายครั้ง โดยไม่ทำลายโครงสร้างเดิม ทนต่อแรงดึงได้สูง ตัวอย่าง เช่น อะคริลิก ไนลอน พอลิไวนีลคลอไรด์ พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีน



เทอร์โมเซตติ้งพลาสติก (thermosetting plastics)
พลาสติกประเภทนี้มีความแข็งแรง ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและปฏิกิริยาเคมีได้ดี เมื่อได้รับความร้อนจะไม่อ่อนตัว ไม่สามารถหลอมและนำกลับมาขึ้นรูปใหม่ได้ ถ้าอยู่ในอุณหภูมิสูงจะทำ



2.2 เครื่องมือช่างพื้นฐาน
เครื่องมือช่างพื้นฐาน เครื่องมือสำหรับการวัด เครื่องมือสำหรับการวัดมีหลายประเภทขึ้นกับลักษณะของงาน
เช่น ไม้บรรทัดตลับเมตรสายวัดไม้โพรแทรกเตอร์
1. วัดความยาว
1.1 ไม้บรรทัด
การใช้งาน เป็นเครื่องมือสำหรับวัดความยาวของวัตถุในแนวระนาบและช่วยในการขีดเส้นให้ตรงทำจากวัสดุหลายประเภท เช่น พลาสติกไม้อะลูมิเนียมเหล็กและมีหลายขนาดตั้งแต่ 14 เซนติเมตรจนถึง 100 เซนติเมตรในหนึ่งไม้บรรทัด
ข้อควรระวังควรเลือกใช้ไม้บรรทัดให้ตรงกับประเภทของงาน

1.2 ตลับเมตร
การใช้งาน เป็นเครื่องมือใช้สำหรับวัดระยะทางหรือวัตถุที่มีขนาดตั้งแต่ 0-10 เมตรสายวัดทำจากแผ่นเหล็กบางสามารถม้วนเก็บได้ปลายสายมีขอเกี่ยวสำหรับเกี่ยวให้ติดกับวัตถุที่ต้องการวัด
ข้อควรระวัง การม้วนสายเข้าเก็บในตลับควรใช้มือจับช่วยผ่อนแรงไม่ให้สายวัดหมุนเข้าตลับเร็วจนเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ได้

2. วัดมุม
2.1 ไม้โพรแทรกเตอร์
การใช้งาน เป็นเครื่องมือใช้สำหรับวัดมุมมีทั้งแบบครึ่งวงกลมและสี่เหลี่ยมผืนผ้าหน่วยการวัดขนาดของมุมเรียกว่าองศา
ข้อควรระวัง ไม่ควรขีดหรือทำเครื่องหมายลงบนไม้โพรแทรกเตอร์เพราะอาจทำให้เส้นหรือตัวเลขลบเลือนได้

เครื่องมือสำหรับการตัด
ในการออกแบบและสร้างสรรค์ชิ้นงานจำเป็นต้องใช้เครื่องมือในการตัดซึ่งมีอยู่
หลายประเภทด้วยกันขึ้นอยู่กับลักษณะของงานเช่นกรรไกรคัตเตอร์เลื่อยมือคีมตัด
1. กรรไกร
การใช้งาน ใช้สำหรับการตัดวัสดุให้เป็นเส้นตรงเส้นโค้งหรือเส้นหยักกรรไกร
มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน เช่น ตัดกระดาษตัดผ้า
ตัดเหล็กตัดพลาสติก
ข้อควรระวัง ในปฏิบัติงานจำเป็นต้องเลือกใช้กรรไกรให้เหมาะสมกับประเภท
ของวัสดุ เช่น กรรไกรตัดกระดาษกรรไกรตัดผ้ากรรไกรตัดโลหะ
2. คัตเตอร์
การใช้งาน เป็นเครื่องมือสำหรับตัดปอกขูดเหมาะสำหรับตัดกระดาษพลาสติกลูกฟูกไม้บัลซาที่เป็นลักษณะของการตัดตรงขดลับความคมของดินสอ
ข้อควรระวัง คัตเตอร์เป็นของมีคมควรใช้งานอย่างระมัดระวังหากวัสดุเป็นแผ่นหนาไม่ควรใช้แรงกดมากเกินไปเพื่อให้วัสดุขาดจากกันในครั้งเดียวควรกรีดหรือตัดซ้ำรอยเดิมหลาย ๆ ครั้งเพื่อความปลอดภัย



3. เลื่อยมือ
เป็นเครื่องมือสำหรับการตัดซึ่งมีหลายประเภทในการปฏิบัติงานจำเป็นต้องเลือกใช้
เลื่อยให้เหมาะสมกับประเภทของวัสดุ เช่น เลื่อยรอเลื่อยฉลุ
3.1 เลื่อยฉลุ
การใช้งาน เป็นเครื่องมือสำหรับงานไม้เหมาะสำหรับงานตัดโค้งทำลวดลาย
กับชิ้นงานไม้ที่ไม่หนาและใหญ่มาก
ข้อควรระวัง เมื่อเลิกใช้งานควรถอดใบเลื่อยออกจากโครงเลื่อยฉลุทันที
3.2 เลื่อยลันดา
การใช้งาน เหมาะสำหรับตัดไม้ทั่วไปตัวเลื่อยทำจากเหล็กส่วนมือจับทำด้วยไม้หรือพลาสติก
ข้อควรระวัง ใบเลื่อยเป็นของมีคมดังนั้นควรใช้งานด้วยความระมัดระวังทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

4. คีมตัด
การใช้งาน ใช้สำหรับงานตัดปอกวัสดุชิ้นเล็กที่ไม่แข็งมากนักเช่นสายไฟเส้นลวด
ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้คีมตัดโลหะที่มีขนาดใหญ่หรือหรือแข็งเกินไปเมื่อเลิกใช้งานควรทำความสะอาดเก็บเข้าที่และหยอดน้ำมันเสมอ

วัสดุและเครื่องมือสำหรับการติดยึด
ในการออกแบบและสร้างสรรค์ชิ้นงานจำเป็นต้องใช้เครื่องมือในการติดยึดซึ่งมีอยู่หลายประเภทด้วยกันขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน เช่น กาวปืนกาว
1. กาว
กาวมีหลายประเภทเช่นกาวลาเท็กซ์กาวร้อนกาวยางกาวแท่งการใช้งานขึ้นอยู่กับพื้นผิวของวัสดุที่ต้องการให้ติดยึดเข้าด้วยกัน
1.1 กาวลาเท็กซ์
การใช้งาน เหมาะสำหรับยึดติดวัสดุประเภทไม้กระดาษผ้ากาวชนิดนี้แห้งช้าควรทิ้งไว้สักระยะหนึ่งโดยเฉพาะไม้ควรทิ้งไว้ข้ามคืนเมื่อกาวแห้งแล้วจะยึดติดวัสดุได้แน่นมากกาวชนิดนี้ไม่เป็นอันตรายมากผู้ใช้งานที่เป็นเด็กสามารถใช้งานได้
ข้อควรระวัง ใช้งานเสร็จควรปิดฝาเพื่อป้องกันการแห้งของกาว

1.2 กาวร้อน
การใช้งาน ยึดติดวัสดุต่าง ๆ ได้เกือบทุกชนิดแห้งเร็วมากเหมาะสำหรับวัสดุประเภทยางพลาสติกโลหะเซรามิก
ข้อควรระวัง ต้องระวังไม่ให้สัมผัสกับผิวหนังหากถูกสัมผัสให้ล้างออกโดยเร็วด้วยน้ำและไขมันเมื่อใช้งานเสร็จควรปิดฝาเก็บให้มิดชิด

1.3 กาวยาง
การใช้งาน ใช้ยึดติดวัสดุต่าง ๆ ได้เกือบทุกประเภทเนื้อกาวมีลักษณะเป็นของเหลวมีทั้งที่เป็นสีเหลืองและสีใสเมื่อทากาวแล้วควรทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมงเหมาะสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์หรืองานซ่อมแซมต่าง ๆ
ข้อควรระวัง กาวชนิดนี้ละลายน้ำได้จึงไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้กลางแจ้งหรือที่ต้องสัมผัสกับน้ำ

1.4 กาวแท่ง
การใช้งาน ใช้ยึดติดวัสดุประเภทกระดาษเนื้อกาวมีลักษณะเป็นของแข็งแฉะเนื้อกาวติดเรียบไม่เลอะเทอะไม่ทำให้กระดาษย่น
ข้อควรระวัง ใช้งานเสร็จควรปิดฝาเก็บให้เรียบร้อย


2. ปืนกาว
ปืนกาวมีส่วนประกอบสำคัญ 2 ส่วนคือส่วนที่มีลักษณะคล้ายปืนมีสายไฟต่อสำหรับใช้กับปลั้กไฟทำหน้าที่เป็นตัวให้ความร้อนและส่วนที่สองคือกาวมีลักษณะเป็นแท่งใสหรือขาวขุ่นเมื่อใส่แท่งกาวลงไปในตัวปืนความร้อนจะทำให้แท่งกาวละลายเป็นเนื้อกาวที่มีความเหนียว
การใช้งาน ใช้สำหรับงานยึดติดวัสดุประเภทกระดาษไม้ยางพลาสติก
ข้อควรระวัง การใช้งานควรระวังไม่ให้สัมผัสกับกาวเนื่องจากมีความร้อน
ค่อนข้างสูง
3. สกรู
มีลักษณะคล้ายตะปู แต่มีเกลียวโดยรอบจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าตะปูควงหรือตะปูเกลียวใช้สำหรับยึดวัตถุสองชิ้นเข้าด้วยกันโดยใช้เกลียวเป็นตัวหมุนเจาะเข้าไปในเนื้อวัสดุหรือรูของวัตถุขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุนั้นสกรูมีหลายชนิดในที่นี้จะยกตัวอย่างในการใช้งานทั่วไป 2 ชนิดดังนี้
3.1 สกรูเกลียวปล่อย
เป็นสกรูที่มีปลายแหลมใช้สำหรับยึดชิ้นงานที่ต้องการแรงยึดตรึงสูงโดยส่วนเกลียวจะแทรกเข้าไปฝังเข้ากับเนื้อวัสดุของชิ้นงานสามารถทนต่อแรงดึงได้ดีหัวสกรูมีหลายแบบเช่นแบบหัวกลมแบบหัวเรียบแบบหัวแฉกแบบหัวผ่า
การใช้งาน ใช้สำหรับยึดชิ้นงานไม้เข้าด้วยกันโดยใช้ไขควงช่วยในการขันเกลียวเข้าไปในเนื้อวัสดุโดยตรง
ข้อควรระวัง การขันเข้าและคลายออกหลายครั้งอาจทำให้ชิ้นงานเสียหายได้

3.2 สกรูและนอต
เป็นสกรูที่มีปลายตัดต้องใช้ร่วมกับนอตที่มีขนาดเกลียวที่เข้ากันได้ใช้หลักการบีบอัดวัตถุ 2 ชิ้นเข้าด้วยกันโดยการขันนอตให้แน่นหัวสกรูมีหลายแบบ เช่น สกรูหัวแฉกสกรูหัวผ่าสกรูแฉกเรียบ
การใช้งาน ใช้ยึดชิ้นงานที่เป็นโลหะเข้าด้วยกันโดยต้องเจาะรูชิ้นงานขนาดพอดีกับสกรูแล้วจึงขันสกรูและนอตสามารถถอดและยึดเพื่อประกอบชิ้นงานใหม่ได้
ข้อควรระวัง การขันเข้าสกรูกับนอตต้องวางตำแหน่งให้ตรงกันก่อนขันเพราะอาจทำให้เกลียวชำรุดได้

4. ไขควง
เป็นเครื่องมือช่างที่ใช้สำหรับขันหรือคลายสกรูโดยลักษณะของไขควงนั้นประกอบด้วยด้ามจับลำตัวหรือก้านและปากไขควงโดยสามารถแยกประเภทของไขควงได้ 2 ประเภทคือ
4.1 ไขควงปากแบน
มีลักษณะปากแบนแบบเส้นตรงคล้ายคมมีดสำหรับใช้ขันหรือคลายสกรูที่หัวสกรูเป็นร่องเส้นเดียว (หัวผ่า)
การใช้งาน ใช้ขันหรือคลายสกรูที่มีลักษณะหัวผ่าสำหรับงานประเภทสลักเกลียวที่ยึดไม้พลาสติกหรือโลหะ
ข้อควรระวัง เลือกขนาดไขควงให้เหมาะสมกับหัวสกรู

4.2 ไขควงปากแฉก
มีลักษณะปากเป็นสี่แฉกใช้ขันสกรูที่มีหัวสี่แฉกเวลาบิดจะต้องใช้แรงกดที่ด้ามมากกว่าไขควงปากแบนเพื่อไม่ให้เหลี่ยมของไขควงหลุดออกจากร่อง
การใช้งาน ใช้ขันหรือคลายนอตที่มีลักษณะหัวแฉกสำหรับงานประเภทสลักเกลียวที่ยึดไม้พลาสติกหรือโลหะ
ข้อควรระวัง เลือกขนาดไขควงให้เหมาะสมกับหัวสกรู


เครื่องมือสำหรับการเจาะ
ในการออกแบบและสร้างสรรค์ชิ้นงานบางอย่างจำเป็นต้องใช้เครื่องมือในการเจาะในที่นี้จะแนะนำเครื่องมือสำหรับเจาะคือที่เจาะกระดาษสว่านมือสว่านไฟฟ้า
1. ที่เจาะกระดาษ
เป็นเครื่องมือใช้สำหรับในการเจาะกระดาษมีหลายขนาดทำมาจากเหล็ก
การใช้งานใช้ เจาะรูขนาดเล็กเหมาะสำหรับเจาะกระดาษ
ข้อควรระวัง ไม่ควรเจาะกระดาษที่หนาจนเกินไป
2. สว่านมือ
เป็นเครื่องมือเจาะรูที่ใช้ร่วมกับดอกสว่านมีเฟืองเป็นเครื่องผ่อนแรงช่วยขับดอกสว่านให้หมุนเจาะรูปลายดอกสว่านจะเป็นตัวเจาะวัสดุและนำเศษวัสดุที่ถูกเจาะออกไปจากรู
การใช้งานใช้ เจาะรูขนาดเล็กเหมาะสำหรับงานไม้งานโลหะงานพลาสติกที่มีชิ้นงานไม่หนามา
ข้อควรระวัง การใส่ดอกสว่านควรจับยึดให้ดีถ้าใส่ดอกสว่านไม่ดีจะหลุดหรือหักได้ง่าย


3. สว่านไฟฟ้า
เป็นเครื่องมือเจาะที่ใช้ร่วมกับดอกสว่านใช้กำลังขับจากมอเตอร์ไฟฟ้าใช้ในการเจาะรูในงานโลหะหรืองานไม้ปัจจุบันสว่านไฟฟ้าเป็นที่นิยมใช้กันมากกว่าสว่านชนิดอื่น ๆ เพราะมีความสะดวกรวดเร็วประหยัดเวลาประสิทธิภาพการทำงานสูง
การใช้งาน ใช้เจาะรูเหมาะสำหรับงานไม้งานโลหะงานก่อสร้าง
ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้ดอกสว่านผิดประเภทเช่น ดอกสว่านเจาะคอนกรีต
ไม่ควรนำไปเจาะเหล็ก
ใบงานที่ 2.1 เรื่องชั้นวางหนังสือของฉัน
2.3 กลไก ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น
1. กลไก
กลไก หมายถึง ส่วนของอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ส่งผ่านการเคลื่อนที่ ทำให้มีการเปลี่ยนตำแหน่งจากต้นทางไปยังปลายทางของการเคลื่อนที่ หรือทำหน้าที่เปลี่ยนทิศทาง ความเร็ว ลักษณะการเคลื่อนที่ นอกจากนี้ยังช่วยผ่อนแรงให้ทำงานได้ง่ายขึ้น
มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การทำงานของกลไก นั้นต้องอาศัยอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนเป็นตัวทำให้เกิดการทำงานในลักษณะต่างๆ ซึ่งอุปกรณ์แต่ละประเภทจะมีหน้าที่แตกต่างกันไป และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องควบคุมการทำงานให้เป็นไปตามความต้องการ ในบทเรียนนี้จะขอยกตัวอย่างล้อและเพลา ซึ่งเป็นกลไกอย่างง่ายและสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไปในชีวิตประจำวัน

รูป 3.2 ล้อและเพลา

รูป 3.1 การทำงานของกลไก
2. ล้อและเพลา
เป็นกลไกที่ช่วยผ่อนแรงในการทำงาน ประกอบด้วยวัตถุทรงกระบอก 2 อันที่มีขนาดแตกต่างกันและอยู่ติดกัน โดยวัตถุที่มีขนาดใหญ่เรียกว่า “ล้อ” และวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าเรียกว่า “เพลา” เมื่อล้อหรือเพลาหมุน จะทำให้อีกส่วนหมุนตาม เรานำหลักการล้อและเพลามาประยุกต์ใช้ใน 2 ลักษณะ คือ
2.1 ออกแรงหมุนล้อ จะทำให้เพลาหมุน ซึ่งช่วยในการผ่อนแรง เช่น ลูกบิดประตู ไขควง ที่เปิดกระป๋อง สว่านมือ
พวงมาลัยรถยนต์
2.2 ออกแรงหมุนเพลา จะทำให้ล้อหมุน เช่น พัดลม ล้อรถยนต์ สว่านไฟฟ้า

รูป 3.2 ออกแรงหมุนเพลา
3. ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ไฟฟ้า คือ พลังงานรูปแบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนหรือโปรตอน นำมาใช้ประโยชน์โดยทำให้เปลี่ยนเป็นพลังงานรูปแบบอื่นๆ ได้ เช่น แสงสว่าง ความร้อน เสียง การเคลื่อนที่
อิเล็กทรอนิกส์ คือ การควบคุมการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าเพื่อให้ได้ปริมาณหรือทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าตามที่ต้องการ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์มีหลายชนิด เช่น หลอด LED
ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันในการสร้างเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ภายในเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นจะมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันอยู่ มีส่วนที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่านครบวงจร เรียกว่า “วงจรไฟฟ้า” ซึ่งประกอบด้วย “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” เชื่อมต่อกันภายในวงจรไฟฟ้า เพื่อทำหน้าที่ควบคุมปริมาณ หรือทิศทางของกระแสไฟฟ้า

ตัวอย่างวงจรไฟฟ้า
วงจรไฟฟ้าที่นักเรียนสามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ไฟฉาย ซึ่งประกอบด้วย
1. แหล่งกำเนิดไฟฟ้า คือ ถ่ายไฟฉายหรือแบตเตอรี่ ทำหน้ที่จ่ายไฟฟ้ากระแสตรงให้อุปกรณ์ต่างๆ ภายในไฟฉาย
2. ตัวนำไฟฟ้า คือ สายไฟหรือโลหะที่เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในวงจร
3. อุปกรณ์ไฟฟ้า คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานรูปแบบอื่น เช่น หลอดไฟ
เกร็ดความรู้ :
ไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามแหล่งกำเนิด ได้แก่ “ไฟฟ้ากระแสตรง” คือ ไฟฟ้าที่มีทิศทางการเคลื่อนที่ในวงจรไปทางเดียว แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรงได้แก่ แบตเตอรี่ โซลาร์เซลล์ ไฟฟ้ากระแสตรงส่วนมากเราจะใช้ในอุปกรณ์พกพา “ไฟฟ้ากระแสสลับ” คือไฟฟ้าที่มีทิศทางการเคลื่อนที่ในวงจรไปกลับตลอดเวลา แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับได้แก่ ไดนาโม ไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้าที่เราใช้กันตามบ้านเรือน มีขนาดแรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวัน และนำมาใช้งานให้เกิดแสง เช่น LED ช่วยให้เกิดเสียง เช่น
ออดไฟฟ้า และช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่ เช่น มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง มอเตอร์ไฟฟ้า กระแสสลับ
1. อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำให้เกิดแสง

2. อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำให้เกิดเสียง

3. อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่

ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของมนุษย์ได้ ดังนั้นองค์ความรู้เรื่องไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้การสร้างสิ่งของเครื่องใช้มีประสิทธิภาพ และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น


ใบงาน 2.2เรื่องการประยุกต์ใช้ความรู้กลไกไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

